ผมเองเป็นด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ได้ขัดขี่จักรยานเมื่อตอนอายุ 7 ขวบ แน่นอนว่ามีร่องรอยของประสบการณ์เป็นแผลเป็นตามร่างกายอยู่เป็นแห่ง ทั้งที่หัวเข่า ข้อศอก หลังมือ จนอายุ 12 ได้จักรยาน BMX ราคาไม่แพงมา 1 คัน เป็นมรดกมาจากพี่ชายสมัยปี 2538 เนื่องจากพี่ชายไปเรียนมัธยมแล้ว ไม่มาชี่จักรยานเล่นแบบเด็ก ๆ อีก
ตอนนั้น เงินก็ไม่ค่อยมี แต่ก็ยังพยายามแต่งรถ เท่าที่จะทำได้ เงินที่มีก็เป็นค่าขนมที่ได้จากโรงเรียน วันละ 30 บาท แต่งรถทีละ 400 โห เริ่มจากเปลี่ยนแฮน เป็นของ Haro เปลี่ยนอาน ให้เป็นอานพลาสติกแข็ง เปลี่ยนยาง ให้เป็นยางเรียบ จะได้ปั่นเร็ว ๆ (เทคนิคในการเปลี่ยนคือ ใช้ให้พัง) เปลี่ยนผ้าเบรกให้เบรกนึบ เวลาปัดท้ายจะได้สวย ๆ
พื้นที่ในการขี่สมัยนั้น มีอยู่ 2 ที คือในซอยเล็กๆ ข้างบ้าน และฟุตบาตหน้าบ้าน เนื่องจากทางบ้านไม่อนุญาติให้ลงถนน กลัวอันตราย จะขี่ไปไกลสุดได้แค่ตลาดมหาสินซึ่งอยู่กลางซอยระยะทางประมาณ 500 เมตร และต้องขี่บนฟุตบาตเท่านั้น ห้ามขี่บนถนน สิ่งที่ได้โดยไม่ตั้งใจจากการถูกบังคับแบบนี้คือ การควบคุมรถในทางแคบ และไม่เรียบ เพราะฟุตบาตในสมันนั้น กว้างประมาณ 2 เมตรเท่านั้น และยังมีตู้โทรศัพท์ เสาไฟ คนเดินสวน ระหว่างทางมีซอยคั่น แรก ๆ พอถึงปากซอยที่ฟุตบาตหมด ก็ลง และจูงไป แต่หลัง ๆ ใช้รถกระโดดลง และกระโดดขึ้นได้ แต่พอเข้าเรียนมัธยมในปี 2539 แล้ว โอกาสในการได้มาขี่รถเล่นช่วงเย็น ๆ ก็น้อยลง เพื่อน ๆ แถวบ้านก็หายหน้าหายตากันไปหมด จนในที่สุด ก็เลิกขี่ในปี 2535 และจักรยานคันนั้น ก็ทรุดโทรม กลายเป็นเศษเหล็กไปในที่สุด
เสือหมอบ
อีกครั้งที่ได้มาขี่จักรยาน โดยการไปขอจักรยานจากน้า ซึ่งเป็นจักรยานที่้น้าไม่ได้ใช้แล้ว มันคือเสือหมอบ จักรยานคันใหญ่ที่สามารถทำความเร็วได้ดี (ตามความคิดสมัยนั้น) ยี่ห้อ Scorpion เป็นเสือหมอบแบบโบราณ คันนี้ซื้อมาประมาณปี 2530 มี 10 เกียร์ เกียร์หน้า 50/40 เกียร์หลัง 15-27 ขนาดล้อ 27 นิ้ว เบรกก้ามปูธรรมดา ได้มาครั้งแรก ขี่ยากมาก เพราะคันใหญ่ และหนัก น้ำหนักรถประมาณ 15 กิโลกรัม
คันนี้แหละ เสือหมอบคันแรก
แต่เมื่อได้มา ก็ยังไม่ได้ขี่อะไรมากมายนัก เพราะว่าชีวิตส่วนใหญ่ อยู่ที่โรงเรียน และ มหาวิทยาลัย จนเวลาผ่านล่วงเลยไปเรื่อย ๆ
ปี 2549 ได้กลับมาขี่อีกครั้ง เนื่องจากตอนนั้นว่างงาน และต้องการประหยัดเงินในการเดินทาง จึงได้เอาเจ้าเสือหมอบไปซ่อมแซม เปลี่ยนยาง เปลี่ยนเบรค ติดไฟหลัง เพิ่มแผ่นสะท้อนแสงด้านหน้า เป็นอันใช้ได้ แล้วเอาไว้ถีบใกล้ ๆ ระยะทางไม่เกิน 5 กม. ครั้งแรกสุดที่ถีบทางไกล เป็นการถีบจากปากซอยอุดมสุขไปถึงสวนหลวง ร. 9 เหนื่อยมาก ทำไม่รถหนักอย่างนี้ ตอนนั้นไม่รู้ว่าการถีบควรจะออมแรกเอาไว้อย่างไร เห็นว่าเป็นเสือหมอบ ต้องวิ่งเร็ว ๆ เท่านั้น มีเท่าไหร่ใส่หมด แป็บเดียว หมดแรง ขาแทบเดินไม่ได้ คราวนี้ถีบได้นานหน่อย ประมาณ 5 เดือน จนได้งานใหม่ เลิกถีบอีกตามเคย
ปลาย ปี 2552 อยากจะออกกำลังกายด้วยจักรยาน เจ้าเสือหมอบถูกหยิบขึ้นมาอีกครั้ง ไปซื้อเบาะใหม่เพราะของเก่าเป็นเบาะอานแบบแทบจะไม่มีบุอะไรไว้เลย เป็นอานแบบมีบุนวมนิ่ม ๆ หน่อย จะได่ไม่เจ็บก้น ราคาประมาณ 400 บาท ติดตะแกรงหลัง เพื่อเอาไว้ใส่ของหรือซ้อยท้ายได้ ติดที่วางขาด้านหลังเอาไว้ด้วย ครั้งแรกที่เริ่มปั่น ระยะทาง 1 กม. หมดแรง ปวดกล้ามเนื้อขา พักไป 1 สัปดาห์ เอาใหม่ คราวนี้ได้ 2 กม. หมดแรง ต่อมาได้ประมาณ 8 กม. เริ่มจากบ้าน สุขุมวิท 101/1 ไปซอยอุดมสุข เข้าซอยประวิทย์และเพื่อน กลับเข้าสุขุมวิท 101/1 เข้าบ้าน ทำอย่างนี้อยู่ได้ประมาณ 3-4 ครั้ง กำลังเริม่อยู่ตัว ส่วนใหญ่จะใช้เวลาช่วงหัวค่ำในการปั่น ใช้เวลาประมาณ 30 นาที
ต่อมาเริ่มใจกล้า ปั่นทางไกลมาขึ้น ออกจากบ้าน เข้าสี่แยกบางนา ไปถึงกิ่งแก้ว กม. 11 ยกรถข้ามสะพานลอย ปั่นกลับ ถึงสะพานข้ามแยกวัดศรีเอี่ยม เลี้ยวขึ้นสะพาน เข้าถนนศรีนครินทร์ เข้าอุดมสุข และเข้าบ้านสุขุมวิท 101/1 รวมระยะทางประมาณ 25 กม. ทำได้อยู่ประมาณ 3 ครั้ง ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ความเร็วที่ทำได้ ใช้เกียร์สูงสุดที่มี น่าจะได้เกิน 30 กม. ต่อชั่วโมง
คราวนี้เริ่มย่ามใจ จนนำมาสู่การเลิกขี่เสือหมอบ คราวนี้มาขี่ช่วงเช้า ออกจากบ้านเหมือนเดิม เข้าบางนา-ตราด ถึง กม. 8 เข้าถนนเลีบลทางด่วงวงแหวนตะวันออก ไปจนสุดทาง เข้าถนนอ่อนนุช เข้าถนนเฉลิมพระเกียรติ (อุดมสุข) กลับเข้าบ้าน รวมระยะทางประมาณ 35 กิโล ใช้เวลาประมาณ 2 ช่วงโมง แบบนี้ครั้งแรกก็ยังดี ๆ พอครั้งที่ 2 รถเริ่มดัง ล้อแกว่ง หมาวิ่งไล่เห่ากันเป็นฝูงเลย อั๋ยหยา ทำไง ปั่นแบบไม่ลืมหูลืมตาเลยคราวนี้ สุดท้าย กลับมาดูสภาพรถ เพลาเบี้ยว ลูกปืนดัง เลยไม่ได้ปั่นในระยะทางไกล ๆ ตั้งแต่ปี 2554 เจ้าเสือคันนี้เลยเป็นได้จักรยานทางใกล้ ไว้จ่ายกับเข้าเท่านั้น
ไม่นานต่อมา ยางในรั่ว เลยไม่ได้ซ่อมปล่อยเอาไว้เลย เพราะซ่อมไป ก็ยังไม่สามารถเอาทางไกลได้อยู่ดี